เริ่มทำตลาดออนไลน์ ควรขายช่องทางไหน?

Facebook : https://www.facebook.com/pakorn.in.th
Website : http://www.pakorn.in.th
Line ID : https://line.me/R/ti/p/%40pakorn.in.th (@pakorn.in.th)

เริ่มทำตลาดออนไลน์ทางช่องทางไหนดี? เราต้องศึกษาว่าลูกค้าเราเป็นใคร อยู่ที่ไหน ถ้าเราบอกว่าเขาอยู่ที่ Google / Facebook / Pantip / Line / YouTube ว่ากันตามตรงเราควรจะไปอยู่ทุกที่ แต่ทีนี้แต่ละที่มันก็มี ลักษณะเฉพาะทางของมัน เราก็ต้องเข้าใจว่าแต่ละที่บริบทมันเป็นอย่างไร และเราจะใช้วิธีอะไรในการเข้าไปทำการตลาดในนั้น ซึ่งก่อนที่จะมาถึง เรื่องนี้ ผมก็จะแนะนำอย่างนี้ว่า ”เราต้องดูสถานะตัวเองด้วยว่าเราเป็นแบบไหน”
แบ่งเป็น 2 แบบใหญ่ ๆ คือ
1.เราอยากใช้แรงกับใช้เวลามากกว่าใช้เงิน
2.เราอยากใช้เงินมากกว่าใช้แรงกับเวลา

แบบแรก ก็ให้นึกถึงคนที่เพิ่งขายของออนไลน์ทำงานประจำไปด้วยและก็อยากจะหัดขายของด้วย ก็ไม่ได้อยากจะลงเงินเยอะ แต่พวกนี้คุณก็ต้องเข้าใจว่า คุณก็ต้องยอมเหนื่อยมากขึ้น ลงทุนเวลาลงทุนแรง ลงทุนอ่านเยอะ ๆ ศึกษา

แบบที่สอง ก็คือเงินเยอะอยู่แล้ว รายได้เยอะอยู่แล้วแต่ไม่อยากให้น้อยลง แต่ว่าเวลาก็ไม่มี ลูกก็มีต้องเลี้ยง ลูกน้องก็เยอะ ต้องบริหาร งานก็เยอะ ภาระเยอะ ก็อยากจะใช้เงินทำงาน

Google กับ Facebook ก็เป็นช่องทางในการโฆษณา เราสามารถใช้เงินทำงาน ก็คือจ่ายเงินโฆษณาบน Google กับ Facebook การจ่ายเงินโฆษณาบน Google กับ Facebook มันเปรียบเสมือนว่าเราจ้าง Google กับ Facebook เป็นลูกน้อง เพราะว่า Google กับ Facebook เราซื้อโฆษณาไปเขาก็ไปวิ่งหาลูกค้าให้เราเหมือนกัน

ถ้าพูดถึง Google ก่อนเวลาเขาไปวิ่งหาลูกค้าให้เรา ข้อเด่นของเขาที่สุดคือ เขาจะวิ่งไปหาลูกค้า ไปโผล่หน้าจังหวะที่เขากำลังอยากซื้อ แล้วที่ดีกว่านั้นคือ ตอนไปโผล่ ไม่เก็บเงินเราด้วยนะ ต้องคลิกโฆษณาเราก่อน เข้าไปที่เว็บถึงค่อยเก็บเงิน

ถ้าคนไม่เข้าใจเรื่องนี้ก็จะมีวิธีคิดที่ผิด ก็จะกลายเป็นว่าอยากจะเอาคนเข้ามาเยอะ ๆ พอเอาเข้ามาเยอะเนื่องจากเขาบอกว่า ยิ่งเอาคนเข้ามาเยอะก็จะยิ่งเก็บเงิน ดังนั้น ถ้าเราเอาคนไม่ใช่เข้ามามันก็จะเปลืองเงินเรา ไปเอาคนไม่ใช่เข้ามาเยอะ ๆ อันนี้มันจะกลายเป็นโทษ มันจะกลายเป็นเราได้กำไรน้อยลง หรืออาจจะถึงขั้นขาดทุน

Facebook ก็เหมือนกันเอาคนเข้ามาร้านเรา เดินเข้ามาปุ๊บ ชิ้ง! เสียเงิน ชิ้ง! เสียเงิน เราต้องเห็นภาพนี้เลยคือการเอาคนเข้ามาคือต้นทุน ดังนั้น เราต้องเลือกให้ดีก่อนว่าเราจะเอาใครเข้ามา

แต่ปัญหาของบางคน คือ ไม่รู้อีกว่าถ้ามองลึกลงไปแล้ว Keywords ที่เราซื้อคำที่เขาพิมพ์ เรามี 20 คำเราก็ต้องรู้อีกว่า คำไหนทำเงิน คำไหนอยู่แล้วเรียกลูกค้าเข้ามาได้ คำไหนอยู่เฉย ๆไม่เคยเรียกลูกค้าเข้ามาเลย เราก็ต้องเอา keywords ที่ไม่ดีนั้นออก

Google จุดเด่นคือ เราเข้าไปในจังหวะที่เขาอยาก
Facebook จุดเด่นคือ เราเหมือนเรียกร้องความสนใจเขาง่ายกว่า

Google เวลาเขาอยากแล้ว สิ่งที่เราโชว์ให้เขาเห็นได้ก็คือเป็นข้อความทื่อ ๆ แต่ถ้าเป็น Facebook สิ่งที่เราโชว์เขาได้ มันก็จะเริ่มเป็นภาพ เป็นวีดีโอ แล้วก็พอเป็นวีดีโอ และพฤติกรรมคนที่อยู่ ชอบกดแชร์ กดไลค์ กดคอมเมนต์ พอเขากดเพื่อนเขาก็เห็น

ดังนั้น ถ้าในแง่ของการสร้างการรู้จัก คือถ้าเราอยากให้คนรู้จักของเราเยอะๆ ถ้าเทียบกันหมัดต่อหมัด โดยมาก Facebook จะได้ผลกว่า เพราะว่าคนกดไลค์ทีหนึ่งเขามีเพื่อนอีก 500 คน เพื่อนเขาอาจจะเห็นครึ่งหนึ่ง 250 แต่เราจ่ายแค่เฉพาะคนแรกคนเดียวที่เขาเห็น

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร? ว่าเราเหมาะกับ Facebook หรือ Google ถ้าจะเอารวม ๆ คร่าว ๆ เอาให้กระชับด้วยก็คือ Google จะเหมาะเป็นพิเศษมาก ๆ กับสินค้าอุตสาหกรรม พวกเครื่องจักร พวกอะไรที่เป็นแบบ ลูกค้าเราเป็นบริษัทหรือเป็นโรงงานถ้าศัพท์ธุรกิจเขาจะเรียก B2B (business to business) มันใช้เหตุผลในการเลือก มากกว่าใช้อารมณ์

แต่ว่า Facebook จะเหมาะมาก ๆ กับสินค้าอะไรที่ใช้อารมณ์มาก ๆ ในการเลือก สมมติแบบมีร่มสวย ๆ มีต่างหู เครื่องประดับ เสื้อผ้าสวย ๆ รองเท้ากระเป๋าสวย ๆ หรือว่าเป็นพวกอะไรที่มันมีแบบเยอะ ๆ มีสีเยอะ ๆ หรือว่าร้านอาหาร ก็จะเอียง ๆ ไปทาง Facebook มากกว่าแต่ถามว่าบางอย่างมันทำบน Google ได้ไหม พวกอารมณ์ก็ทำได้

แต่ว่าในการที่เราจะใช้ตรรกะ ใช้ logic ในการเลือกอะไรสักอย่าง เช่น เราจะเลือกที่ทำงาน สมมติเราจะเลือกสมัครงาน ไม่ค่อยใช้อารมณ์ เสิร์ชใน Google มันจะมีคำอธิบาย มันจะมีคำตอบที่มันได้เหตุผลในการตัดสินใจ เลือกที่เรียนอย่างนี้ เราคงไม่ไปเสิร์ชใน Facebook ว่า จะเรียนต่อที่ไหนคณะอะไร คืออาจจะมีคนทำนะแต่คงน้อย

ถ้าจะเอาสั้น ๆ กระชับ ๆ เราก็ต้องดูว่าลูกค้าเรา ใช้อะไรในการเลือกซื้อสินค้าเรามากกว่ากัน ระหว่างเหตุผล ตรรกะกับอารมณ์ แล้วก็แบบ ดีไซน์ อรรถรส อะไรอถ้าเป็นแบบดีไซน์ อรรถรส ก็จะเหมาะกับ Facebook มากกว่า ถ้าเป็นตรรกะมาก ๆ ใช้เหตุผลก็จะเหมาะกับ Google

อย่างธุรกิจทัวร์ ถามผมก็คือเหมาะทั้งสองอย่าง คือมันใช้อารมณ์ด้วย เห็นภาพภูเขาฟูจิสวย ๆ เห็นแล้วแบบอยากไป แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าคนเสิร์ชใน Google ว่า ทัวร์ภูเขาฟูจิเดือนเมษายน 2561 อันนี้มันก็คือตรรกะแล้ว มองในแง่หนึ่ง มันไม่ใช่อารมณ์แล้ว แสดงว่าเขามีเหตุผลแล้วนะเขาถึงได้เสิร์ช อย่างนี้มันก็จะขายง่าย แต่นิดหนึ่งถ้าเราไปใช้ Google แล้วเราซื้อ keywords แบบ ”เที่ยวญี่ปุ่นที่ไหนดี” หรือ ”เที่ยวที่ไหนดี” หรือ ”เที่ยว” คนเสิร์ชคำว่า ”เที่ยว” เฉย ๆ คือฟุ้งมาก อารมณ์เยอะ อย่างนี้ก็จะขายไม่ได้ขายยาก